จิตของพระพุทธเจ้า และพุทธสาวิกา
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่มารผู้มีบาปได้มาต่อว่าพระองค์ในขณะนอนอยู่ว่า "มาร ! เราบรรลุประโยชน์แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก อยู่ในที่นอนที่นั่งอันสงัดแต่ผู้เดียว นอนคิดคำนึงถึงสัตว์ทั้งปวง ด้วยความเอ็นดู
เราเดินไปก็ไม่หวาดหวั่น
ถึงหลับอยู่ก็มิได้เกรงกลัว กลางวันกลางคืน ไม่ทำให้เราเดือดร้อน ”
เทวดาตนหนึ่ง
กราบทูลยกย่องพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “จงดูจิตพระสมณโคดม ทรงหลุดพ้นดีแล้ว จิตที่เป็นไปตามราคะ
พระสมณโคดมก็ไม่ให้น้อมไปถึงแล้ว จิตที่เป็นไปตามโทสะ พระสมณโคดมก็ไม่ให้หวนกลับมาแล้ว และจิตพระสมณโคดมก็ไม่ต้องตั้งใจข่ม
และคอยห้ามปราม”
พระกิสาโคตรมีภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “เรากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวง ทำลายความมืด
ชนะกองทัพมัจจุราชแล้ว
อยู่อย่างไม่มีอาสวะ”
พระอิชยาภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “เราอึดอัดระอาด้วยกายเน่านี้ ที่มีแต่จะแตกทำลายเปื่อยผุพังไป กามตัณหาเราถอนได้แล้ว รูปภพ
อรูปภพ และสมาบัติ อันสงบทั้งปวง
เรากำจัดได้หมดแล้ว”
พระอุบลวรรณาภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “เราเป็นผู้ชำนาญในจิต เจริญอิทธิบาทดีแล้ว พ้นจากเครื่องผูกทุกชนิด”
พระจาลาภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้ว ย่อมประสบทุกข์ คือ การจองจำ การฆ่า ความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น
เราจึงไม่ชอบความเกิด
เราตั้งอยู่ในสัจจะ
เพื่อละทุกข์ทั้งปวง”
พระอุปจาลาภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “เทพทั้งหลาย
ชั้นกามจรภูมิ ยังผูกด้วยเครื่องผูก
คือกาม จำต้องกลับมาสู่อำนาจมารอีก
โลกทั้งหมดเร่าร้อน คุกรุ่น
ลุกโพลง สั่นสะเทือน ใจเรายินดี แน่วแน่ในนิพพาน จึงไม่สั่นสะเทือน ไม่หวั่นไหว”
พระเสลาภิกษุณี กล่าวแก่มารว่า “ร่างกายนี้ ตนเองก็ไม่ได้สร้าง ผู้อื่นก็ไม่ได้สร้าง
อาศัยเหตุจึงเกิด อาศัยเหตุจึงดับ ขันธ์,
ธาตุ, อายตนะ 6 เหล่านี้ ก็ฉันนั้น อาศัยเหตุจึงเกิด อาศัยเหตุจึงดับ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น