การละกิเลส
บุคคลย่อมละกิเลสที่เป็นอดีตได้ กิเลสที่เป็นอนาคตได้ กิเลสที่เป็นปัจจุบันได้ บุคคลละกิเลสที่เป็นอดีตได้ คือ บุคคลที่ทำกิเลสที่สิ้นแล้ว ให้สิ้นไป ทำกิเลสที่ดับแล้ว ให้ดับไป ทำกิเลสที่ปราศจากแล้ว ให้ปราศจากไป
ทำกิเลสที่หมดแล้ว ให้หมดไป ละกิเลสที่เป็นอดีต ซึ่งไม่มีอยู่ได้
บุคคลละกิเลสที่เป็นอนาคตได้ คือ บุคคลละกิเลสที่ยังไม่เกิด ละกิเลสที่ยังไม่บังเกิด ละกิเลสที่ยังไม่เกิดขึ้น ละกิเลสที่ยังไม่ปรากฏ ละกิเลสที่เป็นอนาคต
ซึ่งยังไม่มีอยู่ได้
บุคคลละกิเลสที่เป็นปัจจุบันได้ คือ บุคคลผู้กำหนัด ก็ละราคะได้ ผู้ขัดเคือง ก็ละโทสะได้ ผู้หลง
ก็ละโมหะได้ ผู้มีมานะผูกพัน
ก็ละมานะได้ ผู้ถือทิฏฐิผิด ก็ละทิฏฐิได้ ผู้ถึงความฟุ้งซ่าน ก็ละอุทธัจจะได้
ผู้ลังเลไม่แน่ใจก็ละวิจิกิจฉาได้
ผู้มีเรี่ยวแรง ก็ละอนุสัยได้ ละธรรมฝ่ายดำ และธรรมฝ่ายขาว เป็นธรรมคู่กันไปด้วยกัน มัคคภาวนาที่มีความหม่นหมอง ละกิเลส ทั้งที่เป็นอดีต ละกิเลสทั้งที่เป็นอนาคตได้
ความเกิดขึ้นเป็นเหตุ ความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย
แห่งความบังเกิดของกิเลสทั้งหลาย
จิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว จึงแล่นไปในนิพพาน ซึ่งไม่มีความเกิดขึ้น เพราะจิตแล่นไปในนิพพาน ซึ่งไม่มีความเกิดขึ้น กิเลสที่พึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย ที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่บังเกิดก็บังเกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้
ที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏขึ้นไม่ได้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้
ความเป็นไปเป็นเหตุ ความเป็นไป เป็นปัจจัย
แห่งความบังเกิดของกิเลสทั้งหลาย
จิตเห็นโทษในความเป็นไปแล้ว จึงแล่นไปในนิพพาน ซึ่งไม่มีความเป็นไป เพราะจิตแล่นไปในนิพพาน
ซึ่งไม่มีความเป็นไป กิเลสที่พึงบังเกิด
เพราะความเป็นไปเป็นปัจจัย ที่ยังไม่เกิด
ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่บังเกิดก็บังเกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้
ที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏขึ้นไม่ได้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดับ
ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการ ฉะนี้
นิมิตเป็นเหตุ นิมิตเป็นปัจจัย
แห่งความบังเกิดของกิเลสทั้งหลาย จิตเห็นโทษในนิมิตแล้ว จึงแล่นไปในนิพพาน
ซึ่งไม่มีนิมิต เพราะจิตแล่นไปในนิพพาน
ซึ่งไม่มีนิมิต กิเลสที่พึงบังเกิด เพราะนิมิตเป็นปัจจัย ที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่บังเกิดก็บังเกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่ปรากฏ ก็ปรากฏขึ้นไม่ได้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการ ฉะนี้
กรรมเป็นเครื่องประมวลมาเป็นเหตุ
กรรมเป็นเครื่องประมวลมาเป็นปัจจัย แห่งความบังเกิดของกิเลสทั้งหลาย จิตเห็นโทษในกรรมเป็นเครื่องประมวลมาแล้ว จึงแล่นไปในนิพพาน ซึ่งไม่มีกรรมเป็นเครื่องประมวลมา เพราะจิตแล่นไปในนิพพาน
ซึ่งไม่มีกรรมเป็นเครื่องประมวลมา
กิเลสที่พึงบังเกิด เพราะกรรมเป็นเครื่องประมวลมาเป็นปัจจัย ที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้นไม่ได้
ที่ยังไม่บังเกิด ก็บังเกิดขึ้นไม่ได้ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้
ที่ยังไม่ปรากฏก็ปรากฏ
ขึ้นไม่ได้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการ ฉะนี้
มัคคภาวนาจึงมีอยู่ การทำผลให้แจ้งก็มีอยู่ การละกิเลสก็มีอยู่ “ธรรมภิสมัย” ก็มีอยู่ ด้วยประการ ฉะนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น