วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สภาวธรรมที่ต้องประหาณ ด้วยโสดาปัตติมรรค คือสังโยชน์ ๓



สภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยโสดาปัตติมรรค คือ สังโยชน์ ๓



๑. สักกายทิฏฐิ  ปุถุชนในโลกนี้  ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ  ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยะ  ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ  ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมเห็นรูปเป็นตนหรือเห็นตนมีรูป  เห็นรูปในตนหรือเห็นตนในรูป               
ย่อมเห็นเวทนาเป็นตนหรือเห็นตนมีเวทนา  เห็นเวทนาในตนหรือเห็นตนในเวทนา 
     ย่อมเห็นสัญญาเป็นตนหรือเห็นตนมีสัญญา  เห็นสัญญาในตนหรือเห็นตนในสัญญา     

ย่อมเห็นสังขารเป็นตนหรือเห็นตนมีสังขาร  เห็นสังขารในตนหรือเห็นตนในสังขาร 
ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตนหรือเห็นตนมีวิญญาณ   เห็นวิญญาณในตนหรือเห็นตนในวิญญาณ
 
ทิฏฐิ ความเห็นผิด ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ  ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ  สังโยชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น  ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิอันเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ ความยึดถือโดยวิปลาส ลักษณะเช่นนี้  เรียกว่า สักกายทิฏฐิ



๒. วิจิกิจฉา  ปุถุชนย่อมเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในส่วนอดีต ในส่วนอนาคต ในส่วนอดีต และส่วนอนาคต ในปฏิจจสมุปบาทที่ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้จึงมี  ความเคลือบแคลง และกิริยาที่เคลือบแคลง  ภาวะที่เคลือบแคลง  ความคิดเห็นไปต่างๆ ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้  ความเห็นเป็นสองทาง  ความเห็นเหมือนทางสองแพร่ง  ความสงสัย  ความไม่สามารถถือเอาโดยส่วนเดียวได้  ความคิดส่ายไป  ความคิดพร่าไป  ความไม่สามารถหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้  ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลสงสัย  นี้เรียกว่า  วิจิกิจฉา



๓. สีลัพพตปรามาส  สมณพราหมณ์ภายนอกแต่ศาสนานี้  มีความเห็นว่าความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต  ด้วยศีลและพรตดังนี้ ทิฏฐิความเห็นผิด ป่าชัฏคือทิฏฐิ  กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ  ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สังโยชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น  ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิอันเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ ความยึดถือโดยวิปลาส ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส

สังโยชน์ ๓ เหล่านี้ และกิเลสที่ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับสังโยชน์ ๓ นั้น ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุต(ประกอบ)ด้วยสังโยชน์ ๓ นั้น กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่มีสังโยชน์ ๓ นั้น เป็นสมุฏฐาน (ที่เกิด,ที่ตั้ง,เหตุ) สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค

สภาวธรรมที่ต้องประหาณ
ด้วยมรรคเบื้องบน ๓ 
(สกทาคามีมรรค  อนาคามิมรรค 
และอรหัตตมรรค)
  

โลภะ โทสะ โมหะที่เหลือ ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่สัมปยุต(ประกอบ)ด้วยสังโยชน์ ๓ นั้น กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่มีสังโยชน์ นั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ต้องประหาณด้วยมรรคเบื้องบน ๓

สภาวธรรมที่เป็นกุศล และอัพยากฤต ซึ่งเป็นกามาวจร  รูปาวจร อรูปาวจร และที่ไม่นับเนื่องในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ต้องประหาณด้วยโสดาปัตติมรรค และมรรคเบื้องบน ๓



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น