ประวัติพระทีปังกรพุทธเจ้า
ครั้งนั้น ชนเหล่านั้นทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าพระนาม ทีปังกร
ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ให้เสวยและฉันแล้ว
ได้ถึงพระศาสดาพระองค์นั้นเป็นสรณะ บางคนให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางคนให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ บางคนให้ตั้งอยู่ในศีล
๑๐
ทรงประทานสามัญผล ๔
(โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
และอรหัตตผล) อันสูงสุดให้แก่คนบางคน
ทรงประทานธรรมที่ไม่มีธรรมอื่นเสมอ คือปฏิสัมภิทาให้แก่คนบางคน ทรงประทานสมาบัติที่ประเสริฐ ๘ ประการ ให้แก่คนบางคน ทรงประทานวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ให้แก่คนบางคน
พระมหามุนี ย่อมตรัสสอนหมู่ชนตามลำดับนั้น
เพราะเหตุนั้น ศาสนาของพระโลกนาถ จึงแผ่ไปอย่างกว้างขวาง ไกลถึง ๑๐๐,๐๐๐ โยชน์
ครั้งที่ ๑ ทรงช่วยเทวดา และมนุษย์ ๑๐๐ โกฏิ ให้บรรลุธรรม
ครั้งที่ ๒
ทรงช่วยเทวดา และมนุษย์ ๙๐ โกฏิ
ให้บรรลุธรรม
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงธรรมในเทพพิภพเทวดา
๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ได้บรรลุธรรม
พระพุทธเจ้าพระนาม ทีปังกร
ทรงประชุมสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ สาวกมาประชุมกัน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๒ พระขีณาสพมาประชุมกัน ๑๐๐ โกฏิ ณ ยอดภูเขานารทะ
ครั้งที่ ๓
พระมหาวีรเจ้าทรงปวารณาออกพรรษา
ภิกษุสงฆ์มาประชุมกัน ๙๐,๐๐๐ โกฏิ ณ ยอดภูเขาสุทัสสนะ
เทวดาและมนุษย์
ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บรรลุธรรม การบรรลุธรรมครั้งละองค์
สององค์นับไม่ถ้วน ภิกษุประมาณ ๔๐๐,๐๐๐
รูป ล้วนได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก สมัยนั้นชนเหล่าใดไม่ได้บรรลุอรหัตตผล
เป็นพระเสขะ ละมนุษย์ภูมิไปย่อมถูกติเตียน
ศาสนาแพร่หลาย งดงามด้วยพระอรหันตขีณาสพ ผู้คงที่ ปราศจากมลทิน ในกาลทั้งปวง
สมัยนั้น เราเป็น “ชฏิล” เป็นผู้มีตบะแก่กล้า สำเร็จอภิญญา ๕ เหาะไปในอากาศได้ ครั้นเราออกจากอาศรม เหาะไปในท้องฟ้า เห็นหมู่ชนมีจิตโสมนัส ร่าเริงยินดี ครั้นทราบจากมหาชนว่า ได้เตรียมแผ้วถางทาง
เพื่อรับเสด็จดำเนินของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ปีติเกิดแก่เรา
เพราะได้ฟังคำว่า “พุทโธ” เราทั้งยินดี ทั้งตื้นตันใจ
ยืนคิดว่า “เราจักปลูกพืชคือบุญลงในที่นี้”
จึงขอโอกาสจากมหาชนเพื่อช่วยแผ้วถางทาง และคิดไปพลางว่า พุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ !
เมื่อทางยังไม่ทันเสร็จ พระชินมหามุนี พร้อมพระขีณาสพ ๔๐๐,๐๐๐ รูป ผู้ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ ผู้ปราศจากมลทิน ก็เสด็จมาถึง
เราสยายผมแล้วลาดผ้าคากรอง และหนังสัตว์ลงบนเปือกตม แล้วนอนคว่ำหน้าลง ณ ที่นั้น ด้วยคิดว่า “พระพุทธเจ้า พร้อมสาวกจงเหยียบเราเสด็จไปเถิด
อย่าทรงเหยียบเปือกตมนั้นเลย ข้อนั้น
จักเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา” เมื่อเรานอนอยู่
มีความคิดอย่างนี้ว่า เราเมื่อต้องการอยู่ ก็พึงเผากิเลสเราได้ในวันนี้
แต่จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ที่จะรู้แจ้งพระธรรมในศาสนานี้ ข้ามพ้นแต่เพียงผู้เดียว โดยเพศที่คนอื่นไม่รู้จัก เราจักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณพ้นแล้ว พึงปลดเปลื้องมนุษย์
และเทวดาเป็นอันมากให้ข้ามพ้นด้วย
พระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ตรัสว่า
เธอทั้งหลายจงดูชฏิลดาบสนี้ ผู้มีตบะแก่กล้า ในกัปอันประมาณมิได้ นับจากกัปนี้ไป
เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก
พระตถาคตเสด็จออกจาก กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่ โคนต้นอชปาลนิโครธ
ทรงรับข้าวปายาสในที่นั่นแล้ว เสด็จไป แม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสวยข้าวปายาส แล้วเสด็จที่โคนต้นโพธิ์ แล้วตรัสรู้ที่ โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์
พระมารดาจักมีพระนามว่า มายา พระบิดาจักมีพระนามว่า สุทโธทนะ
พระชินเจ้าพระองค์นี้จักมีพระนามว่า โคดม ตามโคตร
พระโกลิตเถระ
และพระอุปติสสเถระ จักเป็น อัครสาวก พระเถระนามว่า อานนท์ จักเป็น พระอุปัฏฐาก พระเขมาเถรี และพระอุบลวรรรณาเถรี จักเป็น อัครสาวิกา
จิตตคหบดีอุบาสก
และหัตถคหบดีอุบาสก จักเป็น อัครอุปัฏฐาก
นันทมารดาอุบาสิกา และอุตตราอุบาสิกา จักเป็น พระอุปัฏฐายิกา
เมืองชื่อว่า
รัมมวดี กษัตริย์พระนามว่า สุเทพ
เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า สุเมธา
เป็นพระชนนี ของพระศาสดาทีปังกร
พระชินเจ้าครองฆราวาสอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี ทรงมีฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูงมากมาย มีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลัง มีนางสนมกำนัลใน ๓๐๐,๐๐๐
นางล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่า ปทุมา พระราชโอรสพระนามว่า อุสภขันธกุมาร
พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต
๔ ประการ(คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
บรรพชิต) จึงทรงราชพาหนะ คือช้างออกผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม ก็ได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณ
ที่ใต้ต้นไม้ที่ชาวโลกเรียกว่า ต้นเลียบ
เมื่อพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว ทรงประทับอยู่ในนันทาราม ที่โคนต้นซึก ทรงปราบปรามเดียรถีย์
พระสุมังคลเถระ
และพระติสสเถระ เป็นอัครสาวก พระสาคตเถระ เป็นพระอุปัฏฐาก พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี เป็นอัครสาวิกา
ตปุสสอุบาสก
และภัลลิกอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก
สิริมาอุบาสิกา และโสณาอุบาสิกา เป็นพระอุปัฏฐายิกา
พระมหามุนีทีปังกร ทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก ทรงงดงามดังต้นพฤกษาประทีป ดังต้นพญาไม้สาละ ที่มีดอกบานสะพรั่งทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออกไป ๑๐ โยชน์โดยรอบ มีพระชนมายุ ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ทรงมีพระฤทธิ์ มีพระยศ พร้อมทั้งจักรรัตนะที่พระยุคลบาท ทุกอย่างล้วนอันตรธานไปหมดแล้ว สังขารทั้งปวง
เป็นสภาพว่างเปล่าหนอ
พระทีปังกรพุทธเจ้า
ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ณ นันทาราม
พระสถูปอันประเสริฐของพระชินเจ้าสูง ๗ โยชน์ ณ นันทารามนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น