การจมปลักอยู่ในทุกข์
ภิกษุผู้บวชแล้วแต่ยัง ละกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกไม่ได้ เปรียบ เหมือนท่อนไม้ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ไฟไหม้ทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ(อุจจาระ) ย่อมไม่อำนวยประโยชน์เป็นเครื่องเรือน ทั้งไม่อำนวยประโยชน์เป็นอุปกรณ์ใช้ในป่าได้
การยึดถือสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นไม่มีโทษนั้นไม่มี การยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นเอง เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะจึงมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา จึงควรพิจารณาเห็นว่า
“นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น
นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา”
ภิกษุทั้งหลาย ! สังขารเกิดจากตัณหา
ผู้ถูกเสวยอารมณ์ที่เกิดจาก “อวิชชา” ถูกต้องสัมผัสแล้ว สังขาร ตัณหา
และอวิชชา นั้น ก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาเห็นเช่นนี้ อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปเป็นลำดับ
อนิจจสัญญา (ความหมายรู้ว่าไม่เที่ยง) ที่บุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมครอบงำกามราคะ รูปราคะ ภวราคะ อวิชชาทั้งปวงได้ และถอนอัสมิมานะทั้งปวงได้
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เธอทั้งหลายพึงละฉันทราคะในสิ่งนั้น
ธรรมที่ควรกำหนดรู้ คือ ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ความกำหนดรู้ คือ ความสิ้นราคะ
โทสะ โมหะ
บุคคลผู้กำหนดรู้ คือ พระอรหันต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น