นิพพานธาตุ
๑. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว
บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์แล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ชอบ เพราะอินทรีย์ ๕ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ที่ยังคงอยู่ ไม่ดับไป ภิกษุนั้นจึงประสบอิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่น่าปรารถนา)
และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา) เสวยสุข และทุกข์อยู่ ภิกษุทั้งหลาย
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะของภิกษุนั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
๒. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว
บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว สิ้นภวสังโยชน์(กิเลสที่เป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้กับภพ)แล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ชอบ ภิกษุทั้งหลาย เวทนาในอัตภาพนี้นั่นแลของภิกษุนั้น
อันตัณหาเป็นต้น ให้เพลิดเพลินไม่ได้ต่อไปแล้ว จักระงับดับสนิท
สภาวะดังกล่าวนี้เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
นิพพาน
ภิกษุทั้งหลาย ! อายตนะนั้นมีอยู่ “ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ พระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายาตนะนั้น"
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า “เป็นการมา เป็นการไป
เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้น หาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ มิได้เป็นไป
หาอารมณ์มิได้” นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
แปลยากจัง
ตอบลบ