วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปัญหา ๑๖ มาณพ กัปปมาณพ


ปัญหากัปปมาณพ

กัปปมาณพ ศิษย์ในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
  อะไรที่พึ่งของเหล่าสัตว์ ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งของชนผู้ชรา มรณะมาถึงรอบข้าง ดุจเกาะเป็นที่พึ่งของชนผู้อยู่กลางสมุทรเมื่อเกิดคลื่นใหญ่ที่น่ากลัวแก่ ข้าพระองค์ อย่าให้ทุกข์มีได้อีก  ?   
        พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
กัปปะ ! เราจะบอกที่พึ่งของเหล่าสัตว์  ผู้ดำรงอยู่ท่ามกลางสระ  ผู้ถูกชรา และมัจจุราชครอบงำ  ในขณะเกิดห้วงน้ำ อันเป็นมหันตภัยแก่เธอ เราเรียกนิพพาน ซึ่งไม่มีเครื่องกังวล ไม่มีเครื่องยึดมั่นนี้นั้นว่า เป็นที่พึ่งอันไม่มีที่พึ่งอื่นยิ่งกว่า นิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งชรา และมัจจุราช ชนเหล่าใดมีสติ รู้นิพพานนั้นแล้ว เห็นธรรม ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้น จึงไม่ไปตามอำนาจมาร ไม่ไปบำรุงมาร
หมู่ ชนเหล่านั้นควรนำตัณหาเป็นเหตุถือมั่นในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ และท่ามกลางออกให้หมดสิ้น เพราะเขาถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลก มารย่อมติดตามเขาได้ เพราะสิ่งนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะ ว่าเกิดอยู่เพราะความถือมั่น พึงมีสติไม่ถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง
       (ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า... ภิกษุทั้งหลาย !  สงสารนี้ มีเบื้องต้น และเบื้องปลายรู้ไม่ได้  ที่สุดเบื้องต้น  ที่สุดเบื้องปลายไม่ปรากฏ    แก่เหล่าสัตว์  ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง  ถูกตัณหาผูกไว้  วนเวียนท่องเที่ยวไป เหล่าสัตว์ เสวยทุกข์  เสวยความยากลำบาก  เสวยความพินาศ เต็มป่าช้า เป็นเวลายาวนานอย่างนี้แล  เพราะเหตุนี้แหละ  จึงควรเบื่อหน่าย  ควรคลายกำหนัด  ควรหลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง 
       ที่สุดทั้งเบื้องต้น  ทั้งเบื้องปลายแห่งสงสารจึงไม่ปรากฏ  แม้อย่างนี้  เหล่าสัตว์ผู้ดำรงอยู่แล้ว  คือ ดำรงมั่นแล้ว  ติดแล้ว  ติดแน่นแล้ว   ติดพันแล้ว  ติดใจแล้วในสงสาร  อันเป็นท่ามกลางสระนั้น)

ปัญหา ๑๖ มาณพ เมตตคูมาณพ

ปัญหาเมตตคูมาณพ

เมตตคูมาณพ ศิษย์ในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
     ๑. ทุกข์ในโลกนี้มีหลายประการ และทุกข์นั้นมาจากไหน ?
     พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
     ทุกข์ทั้งปวงล้วนมาจากอุปธิ(สิ่งที่ยังกลั้วด้วยกิเลส) ผู้ใดเขลาไม่รู้แล้วทำให้อุปธินั้นให้เกิด ผู้นั้นย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ เหตุนั้น เมื่อรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุใหเกิดทุกข์ แล้วอย่าทำอุปธิให้เกิด ฯ 
    ๒. ทำอย่างไรจึงจะข้ามชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะได้ ?
    พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
    เราจักแสดงธรรมที่พึงเห็นแจ้งด้วยตนเองในอัตภาพนี้ ที่บุคคลทราบแล้ว จะเป็นผู้มีสติสามารถข้ามความอยากอันให้ติดในโลกได้ ฯ
     ๓. ข้าพระองค์ยินดีในธรรมที่สูงสุดนั้นเป็นอย่างยิ่ง
     พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
เธอรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็น ธรรมชั้นสูง ชั้นต่ำ และชั้นกลาง เธอจงบรรเทาความเพลิดเพลิน ความถือมั่น และวิญญาณ ในธรรมเหล่านั้นเสีย ไม่พึงตั้งอยู่ในภพ
 ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท รู้แจ้ง ละความยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว เที่ยวไปอยู่ พึงละชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะ อันเป็นทุกข์ในอัตภาพนี้ได้แน่นอน
( อนาคต  เป็นธรรมชั้นสูง  อดีต เป็นธรรมชั้นต่ำ  ปัจจุบัน เป็นธรรม ชั้นกลาง 
เทวโลก  เป็นธรรมชั้นสูง  นิรยโลก เป็นธรรมชั้นต่ำ  มนุษยโลก เป็นธรรมชั้นกลาง 
อรูปธาตุ  เป็นธรรมชั้นสูง   กามธาตุ  เป็นธรรมชั้นต่ำ  รูปธาตุ เป็นธรรมชั้นกลาง 
สุขเวทนา  เป็นธรรมชั้นสูง   ทุกขเวทนา  เป็นธรรมชั้นต่ำ  
อทุกขมสุขเวทนา  เป็นธรรมชั้นกลาง) 


ปัญหา ๑๖ มาณพ อชิตมาณพ

ปัญหาอชิตมาณพ



อชิตมาณพ เป็นหัวหน้าศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
๑. โลกคือหมู่สัตว์ ถูกอะไรห่อหุ้มไว้  อะไรเป็นเหตุจึงไม่มีปัญญามองเห็น โลกไม่สดใสเพราะอะไร อะไรเป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ให้สัตว์โลกติดอยู่ และอะไรเป็นภัยใหญ่หลวงของโลกนั้น ? 
   พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า  

   อชิตะ ! เธอจงรู้เถิดว่า  อวิชชาเป็นศีรษะ  โลกถูกอวิชชาห่อหุ้มไว้  คือความไม่รู้ปิดบังไว้  วิชชาที่ประกอบด้วยสัทธา  สติ  สมาธิ  ฉันทะ และวิริยะ เป็นธรรมที่ทำให้ศีรษะตกไป
 โลกไม่สดใสเพราะความตระหนี่ และความประมาท   เราเรียก ความอยากว่า เป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้  ทุกข์เป็นภัยใหญ่หลวงของโลก  
๒. อะไรเป็นเครื่องห้าม เครื่องปิดบังความอยาก ซึ่งเป็นดุจกระแสน้ำหลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง จะละความอยากได้ด้วยธรรมอะไร ?
   พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า 

กระแสเหล่าใดในโลก  สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้นได้  เรากล่าวธรรมเครื่องป้องกันกระแสทั้งหลาย  ปัญญาปิดกั้นกระแสทั้งหลายเหล่านั้นได้
๓. ปัญญา สติ นามรูปนั้น จะดับไปมีส่วนเหลือในที่ใด ณ ที่ใด ?
 พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า  
 เพราะวิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับไป ในที่นั้น ฯ
๔. ชนผู้เห็นธรรมแล้ว และผู้ยังต้องศึกษาอยู่ สองพวกนี้ยังมีอีกมาก ขอกราบทูลถามความประพฤติของปวงชนพวกนั้น ?
พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
ภิกษุ ผู้เห็นธรรมแล้ว และผู้ยังศึกษาอยู่ เป็นคนไม่มีความกำหนัดยินดีในกามคุณทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ ฯ


( ความตระหนี่ ได้แก่ มัจฉริยะ 5 อย่าง คือ ที่อยู่  ตระกูล  ลาภ วรรณะ  และธรรม)




ปัญหา ๑๖ มาณพ โปสาลมาณพ

ปัญหาโปสาลมาณพ



        โปสาลมาณพ ศิษย์ท่านหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ได้กราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า 
          ๑. ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้มีความกำหนดในรูปแจ้งชัด(บรรลุรูปฌานแล้ว) ละรูปารมณ์ทั้งหมดได้แล้ว (บรรลุฌานสูงกว่ารูปฌานขึ้นไปแล้ว)  เห็นทั้งภายในและภายนอกว่าไม่มีอะไรเลย (บรรลุอรูปฌาน คืออากิญจัญญายตนฌาน) บุคคลเช่นนั้นจะควรแนะนำสั่งสอน ให้ทำอย่างไรต่อไป ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
       ตถาคตทราบภูมิที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งหมด จึงทราบบุคคลเช่นนั้น แม้ยังอยู่ในโลกนี้ว่า มอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ(ภพที่ไม่มีอะไรเลยแม้น้อยนิด)  มีความเพลิดเพลินยินดีเป็นเครื่องประกอบ ต่อจากนั้นย่อมพิจารณาเห็นสหชาตธรรมในอากิญจัญญายตนฌานแจ้งชัด โดยลักษณะ ๓ อย่าง (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน) ข้อนี้เป็นฌานอันถ่องแท้ของบุคคลเช่นนั้น ผู้มีพรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว

ปัญหา๑๖ มาณพ ติสสเตยยมาณพ

ปัญหาติสสเตยยมาณพ



        ติสสเตยยมาณพ ศิษย์ท่านหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ได้กราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า 
          ๑. ใครชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ ในโลกนี้  ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
       ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สำรวมในกามทั้งหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโดยชอบ ดับเครื่องร้อนกระวนกระวายได้เสียแล้ว ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ ในโลกนี้
        ๒. ใครไม่มีความอยาก ซึ่งเป็นเหตุดิ้นรนทะเยอทะยาน ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
        ภิกษุผู้ไม่มีความทะยานอยาก (ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์)
        ๓. ใครรู้ส่วนข้างปลายทั้งสอง (อดีต อนาคต) ด้วยปัญญา และไม่ติดอยู่ในส่วนกลาง(ปัจจุบัน) ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
        ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์นั่นแหละ ฯ
       ๔. ใครชื่อว่า เป็นมหาบุรุษ ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
        ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์นั่นแล ฯ
      ๕. ใครล่วงพ้นตัณหา เครื่องร้อยรัดในโลกได้ ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
        ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์นั่นแล ฯ 

ปัญหา ๑๖ มาณพ ปุณณกมาณพ

ปัญหาปุณณกมาณพ



        ปุณณกมาณพ ศิษย์ท่านหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ได้กราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า 
          ๑. มวลมนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤาษี กษัตริย์ และพราหมณ์ อาศัยอะไร จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
       เพราะอยากได้ของที่ตนปรารถนา ที่อาศัยความชรา เป็นต้น มาทำให้แปรเปลี่ยน จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา
        ๒. มนุษย์เหล่านั้น ถ้าบูชายัญเป็นประจำ จะข้ามพ้นชาติ ชรา ได้หรือไม่ ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
        มนุษย์เหล่านั้นยังปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ และยังกำหนัดยินดีอยู่ในภพ จึงข้ามชาติ ชรา ไปไม่ได้
        ๓. ผู้บูชายัญเหล่านั้น ข้ามพ้นชาติ ชรา ไม่ได้  แล้วใครจะข้ามพ้นได้เล่า ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
      ความอยากทำให้ดิ้นรนทุกๆชาติ ความอยากของผู้ใดไม่มี เพราะพิจารณาเห็นที่ยิ่งและหย่อนในโลก ไม่มีกิเลสหมดความอยาก เราเรียกผู้นั้นว่า ข้ามชาติ ชรา ได้แล้ว

ปัญหา ๑๖ มาณพ โธตกมาณพ


ปัญหาโธตกมาณพ

        โธตกมาณพ ศิษย์ท่านหนึ่งในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี ได้กราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า 
          . ข้าพระองค์ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว จะศึกษาข้อปฏิบัติเครื่องดับกิเลสของตน ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
      ถ้าอย่างนั้นท่านจงมีปัญญา มีสติมีความเพียรในศาสนานี้เถิด ฯ
        ๒. ขอพระองค์จงเปลื้องข้าพระองค์ออกจากความสงสัยเถิด ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
       เราจะเปลื้องใครๆ ในโลกที่มีความสงสัยอยู่ไม่ได้  เมื่อท่านรู้ธรรมอันประเสริฐ ก็จะข้ามห้วงทะเลใหญ่ คือกิเลสอันนี้เสียได้เอง ฯ
        ๓. ขอพระองค์จง แสดงธรรมอันสงัดจากกิเลสที่ข้าพระองค์ควรรู้ สั่งสอนให้ข้าพระองค์เป็นคนปลอดโปร่งระงับกิเลสเสียได้ ไม่อาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งเที่ยวอยู่ในโลกนี้ ?
        พระพุทธเจ้าทรงวิสัชนาว่า 
       ถ้าท่านรู้ว่าความทะยานอยาก ทั้งเบื้องบน(อนาคต) เบื้องต่ำ(อดีต) เบื้องกลาง(ปัจจุบัน) เป็นเหตุให้ติดห้วงอยู่ในโลกนี้ ท่านอย่าทำความทะยานอยาก เพื่อจะเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ฯ