พระกุณฑลเกสีเถรี
(พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๒)
พระชินเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงมีพระจักษุ ทรงเป็นผู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงเป็นพระมุนี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่
100,000 นับจากกัปนี้ไป
ครั้งนั้น หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐีรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในกรุงหงสวดี เป็นผู้เพียบพร้อม
ด้วยความสุขมาก
หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนา มีจิตเลื่อมใส ได้ถึงพระชินเจ้าเป็นสรณะ
ครั้งนั้น พระชินเจ้าทรงแต่งตั้งภิกษุณีรูปหนึ่ง
เป็นเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ฉับพลัน)
หม่อมฉันได้ฟังพระพุทธยากรณ์นั้นแล้ว
มีจิตเบิกบาน ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้ว
ซบศีรษะแทบพระยุคลบาท กราบทูลตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้น
ด้วยกรรมที่หม่อมฉันทำไว้ดีแล้ว ด้วยเจตนาที่ตั้งมั่น เมื่อละกายมนุษย์แล้วไป
จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วเลื่อนขึ้นไปสวรรค์ชั้นสูงยิ่งขึ้น
จนไปถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแล้วจุติเป็นมนุษย์
ได้เป็นมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ และได้เป็นมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน
มีความสุขทุกชาติ
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ พระนามว่า กัสสปะ ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย ทรงเสด็จอุบัติแล้ว
ครั้งนั้น
หม่อมฉันเป็นธิดาคนที่ 7 ของ พระเจ้ากาสี พระนามว่า กิกี เป็นใหญ่ในกรุงพาราณสี
ทรงเป็นผู้อุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่
พระชนกนาถมีพระราชกัญญา 7 พระองค์ ได้กลับชาติมาเกิดเป็น 1. หม่อมฉันพระกุณฑลเกสีเถรี 2. พระเขมาเถรี 3. พระอุบลวรรณาเถรี 4. พระปฏาจาราเถรี 5. พระกีสาโคตมีเถรี 6. พระธรรมทินนาเถรี 7. วิสาขามหาอุบาสิกา
ด้วยกรรมที่หม่อมฉันทำไว้ดีแล้ว ด้วยเจตนาที่ตั้งมั่น เมื่อละกายมนุษย์แล้ว
จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย หม่อมฉันเกิดเป็นธิดาของเศรษฐี
ที่มีความเจริญในกรุงราชคฤห์ ที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อหม่อมฉันเจริญวัยเป็นสาว
ได้เห็นบุรุษนำโจรเพื่อประหาร แล้วเกิดความรักในโจรนั้น บิดาของหม่อมฉัน
ได้ใช้ทรัพย์ 1,000 ปลดเปลื้องโจร
ให้พ้นจากการประหาร แล้วยกหม่อมฉันให้แก่โจร
หม่อมฉันไว้วางใจ เอ็นดู เกื้อกูลโจรนั้นยิ่งนัก โจรนั้นมีความโลภในเครื่องประดับของหม่อมฉัน แล้วคิดฆ่าหม่อมฉัน โดยให้หม่อมฉันเป็นผู้ช่วยนำของขึ้นไปบวงสรวง ยังเหวทิ้งโจร
เมื่อหม่อมฉันรู้ จึงคิดรักษาชีวิต ได้ประนมมือไหว้โจร
ผู้เป็นศัตรูร้ายกาจนั้น ได้บอกเขาว่ายินดียกเครื่องประดับอันมีค่าทั้งหมดให้ แล้วขอให้เขาปล่อยตัวหม่อมฉันไป หรือไม่ก็ขอให้หม่อมฉันเป็นนางทาสีของเขาตลอดไป
แต่โจรไม่ยอม จะฆ่าหม่อมฉันให้ได้
หม่อมฉันจึงกล่าวกับโจรว่า
“ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยรักชายใด ยิ่งไปกว่าท่านเลย ก่อนตายฉันของกอดท่าน ทำประทักษิณท่าน ไหว้ท่าน เพราะจะไม่มีโอกาสได้เห็นท่าน ได้อยู่กับท่านอีก”
ครั้งนั้น
หม่อมฉันคิดหลาย ๆ เรื่อง อย่างรวดเร็ว และฉับไว ด้วยปัญญา จึงคิดฆ่าโจร ซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจนั้น โดยการผลักโจรลงเหวไป
หลังจากนั้น หม่อมฉันได้เข้าบวชในสำนักปริพาชก
ที่ครองผ้าขาว เขาใช้แหนบถอนผมจนหมดแล้ว จึงให้บวช สอนลัทธิให้เนืองๆ
ซึ่งทำมนุษย์ให้เป็นเยี่ยงสุนัข
เขาโยนผมที่ถอนแล้วไว้ใกล้ๆ หม่อมฉัน แล้วหลีกไป
หม่อมฉันนิมิตเห็นหมู่หนอนตั้งอยู่ มีความสลดใจ ได้ถามปริพาชกในสำนักเดียวกัน พวกนั้นบอกว่า “ภิกษุศากยบุตรทั้งหลาย ย่อมรู้เรื่องนั้น”
หม่อมฉันเข้าไปหาพุทธสาวก แล้วถามเรื่องนั้น พุทธสาวกเหล่านั้นพาหม่อมฉันไปพบพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ
พระองค์ทรงเป็นผู้นำ
ทรงแสดงธรรมแก่หม่อมฉันว่า “ขันธ์ อายตนะ และธาตุทั้งหลาย ไม่งาม ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”
หม่อมฉันได้ฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ชำระธรรมจักษุให้หมดจด โดยวิเศษ รู้แจ้งพระสัทธรรม แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท
หม่อมฉันบวชแล้ว ได้เห็นน้ำ รู้จักสังขาร ที่มีการเกิด
และการดับไป ด้วยน้ำล้างเท้า คิดว่า “สังขารแม้ทั้งปวง ก็เป็นอย่างนี้” จากนั้นจิตหม่อมฉันหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่นด้วยประการทั้งปวง
ในครั้งนั้น พระชินเจ้าทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น
ทรงแต่งตั้งหม่อมฉันใน ตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ผู้ขิปปาภิญญา(ตรัสรู้เร็ว)
กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว
หม่อมฉันตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้ว อยู่อย่างไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้ว อยู่อย่างอิสระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น