พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
(พระไตรปิฎก
ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๒)
คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ส่องโลกให้สว่าง
ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ ภูฏาคารศาลา
ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี
ครั้งนั้น
พระมหาปชาบดีโคตรมีภิกษุณี พระมาตุจฉา(น้าสาว)
ของพระชินเจ้า อยู่ในสำนักพระภิกษุณี ในกรุงที่น่ารื่นรมย์นั้น พร้อมด้วยภิกษุณี 500 รูป แม้พระเขมาเถรี
(อัครสาวิกาผู้เลิศทางด้านปัญญา)
ล้วนเป็นผู้พ้นจากกิเลสแล้ว ได้ปลงอายุสังขาร เพื่อเข้าสู่ปรินิพพาน
ครั้งนั้น
เกิดแผ่นดินไหว สะเทือนเลื่อนลั่น กลองทิพย์บันลือลั่น
เทพที่สถิตอยู่ในสำนักพระภิกษุณี ถูกความโศกเศร้าบีบคั้น บ่นเพ้ออย่างน่าสงสาร
พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี
พร้อมด้วยภิกษุณี 500 รูป
พากันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อกราบทูลขออนุญาตเข้าสู่พระนิพพาน พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรีได้กราบทูลว่า
ข้าแด่พระสุคต หม่อมฉันเป็นมารดาเลี้ยงของพระองค์
ข้าแด่พระธีรราชเจ้า
ส่วนพระองค์เป็นบิดาของหม่อมฉัน ข้าแด่พระโลกนาถ
พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานความสุข ที่เกิดจากพระสัทธรรม ข้าแด่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้ที่พระองค์ให้เกิดแล้ว
ข้าแด่พระสุคต
พระรูปกาย ของพระองค์นี้ อันหม่อมฉันเคยฟูมฟักให้เจริญเติบโตแล้ว ส่วน “พระธรรมกาย” ที่น่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน พระองค์ทรงช่วยให้ข้ามพ้นสาคร คือ ภพ ได้
พระองค์หม่อมฉันให้ดื่มน้ำนม อันระงับความหิวได้เพียงชั่วครู่ ส่วนหม่อมฉัน พระองค์ทรงให้ดื่มแม้น้ำนม คือ พระสัทธรรม ซึ่งสงบระงับได้แท้จริง
ข้าแด่พระมหาวีระ
พระนามว่าพุทธมารดา อันสตรีทั้งหลายได้มาโดยยากยิ่งนั้น หม่อมฉันได้แล้ว ปณิธานน้อยใหญ่ของหม่อมฉัน
พระองค์ก็ทรงให้สำเร็จ และบริบูรณ์แล้ว
หม่อมฉันปรารถนาจะละร่างนี้ปรินิพพาน
ข้าแด่พระมหาวีระเจ้า ผู้ทำที่สุดแห่งทุกข์ ทรงเป็นผู้นำ ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันเถิด
พระมหาปชาบดีโคตรมี
ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระยุคลบาท
แล้วกราบทูลว่า “หม่อมฉันขอนอบน้อมพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเป็นที่พึ่งของหม่อมฉัน ในกาลสุดท้ายด้วยเถิด หม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก
ข้าแด่พระองค์ผู้เลิศในโลก
ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งพระกรุณา ธรรมดาสตรีทั้งหลายรู้กันว่า มีแต่จะก่อโทษทุกประการ ถ้าโทษอันใด อันหนึ่งของหม่อมฉันมีอยู่ ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด
อนึ่ง
หม่อมฉันได้ทูลขอบ่อย ๆ ให้สตรีทั้งหลายได้บวช ถ้าโทษข้อนั้นจะมีแก่หม่อมฉัน
ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตรมี !
ผู้ประดับไปด้วยคุณ ชื่อว่า นิพพาน ก็สมควรแก่เธอ จะมีโทษอะไร
เมื่อเธอบอกว่าจะลานิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไรเธอให้มากเล่า
จงรู้กาลเองเถิด พระนางโคตรมี”
เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์
ไม่บกพร่อง เธอจะจากไปจากโลกนี้ก็ควร เพราะในเวลาสว่าง เมื่อดวงดาวหมดแสง จันทเลขาก็เห็นเลือนไป
ภิกษุณีทั้งหลาย
นอกจากพระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี พากันทำประทักษิณาพระชินเจ้าผู้เลิศ เหมือนกลุ่มดาวที่ติดตามดวงจันทร์
หมอบลงแทบพระยุคลบาท ยืนเพ่งดูพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ
กราบทูลว่า “หม่อมฉันไม่เคยอิ่มด้วยการเห็นพระองค์
โสตของหม่อมฉัน ไม่เคยอิ่มด้วยภาษิตของพระองค์ จิตของหม่อมฉันดวงเดียวเท่านั้น
บรรลุธรรมจึงอิ่มด้วยรสแห่งธรรม
ชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ชื่อว่า
เป็นผู้ที่โชคดี
ชนเหล่าใดได้ประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์ ชื่อว่า เป็นผู้ที่โชคดี
ชนเหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์ ซึ่งไพเราะ น่าปลื้มใจ เผาเสียซึ่งโทษ เป็นประโยชน์เกื้อกูล ชื่อว่า
เป็นผู้ที่โชคดี
ข้าแด่พระมหาวีระ หม่อมฉันอิ่มด้วยการบูชาพระยุคลบาทของพระองค์ ข้ามพ้นทางกันดาร คือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของพระองค์ ผู้มีพระสิริ ฉะนั้น หม่อมฉันจึง ชื่อว่า เป็นผู้ที่โชคดี
ลำดับนั้น
พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรีผู้มีวัตรอันงาม ประกาศในที่ประชุมสงฆ์แล้ว ไหว้พระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะ แล้วตรัสดังนี้
“ดิฉันเบื่อหน่ายในร่างกาย
ซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษ เป็นรังของโรค เป็นสถานที่เกิดทุกข์ มีชรา
และมรณะเป็นโคจร
เกลื่อนกล่นไปด้วยมลทิน
คือ ซากศพต่างๆ ต้องพึงพาผู้อื่น ปราศจากความน่าใฝ่ใจ ฉะนั้น
หม่อมฉันจึงปรารถนาจะนิพพานเสีย ขอลูกๆ จงเข้าใจตามสมควรเถิด”
พระนันทเถระ และพระภัททราหุล เป็นผู้ปราศจากความเศร้าโศก หมดอาสวะ ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหว มีปัญญา มีความเพียร ได้คิดตามธรรมดาว่า
น่าติเตียนร่างกายที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีภาวะหวั่นไหว
ปราศจากแก่นสาร เปรียบได้กับต้นกล้วย เช่นเดียวกับพยับแดด ซึ่งเป็นมายา ต่ำช้า ไม่มั่นคง
พระมาตุจฉาของพระชินเจ้าต้องเสด็จนิพพาน สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนไม่เที่ยงครั้งนั้น ท่านพระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระชินเจ้า ยังเป็นพระเสขบุคคล (พระโสดาบัน) ท่านหลั่งน้ำตา คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา
พระมหาปชาบดีโคตรมี ได้ตรัสกับพระอานนท์ ผู้เชี่ยวชาญพระปริยัติธรรม ที่ลึกล้ำปานสาคร ฝักใฝ่การอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าว่า
“ลูกเอ๋ย ! พ่อไม่ควรเศร้าโศกถึงการตายของแม่ การนิพพานของแม่ใกล้เข้ามาแล้ว ลูกได้ทูลพระศาสดาทรงยินยอมอนุญาตให้แม่บวช พ่ออย่าเสียใจไปเลย ความพยายามของพ่อต้องมีผล
ก็บทธรรมใด ที่เจ้าลัทธิทั้งหลายผู้เก่าก่อนไม่เห็น บทธรรมนั้น อันเด็กหญิงซึ่งมีอายุ 7 ขวบ รู้แจ้งประจักษ์แล้ว
พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ การเห็นลูกครั้งนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย ลูกเอ๋ย ! แม่จะไปสถานที่ที่บุคคลไปแล้ว
ไม่ปรากฏ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตรมี ! คนพาลเหล่าใดมีความสงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสตรีทั้งหลาย ท่านจงแสดงฤทธิ์
เพื่อการลดทิฏฐิของคนพาลเหล่านั้น”
พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี
หมอบกราบพระบรมศาสดาแล้ว เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า แสดงฤทธิ์เป็นอเนกประการ ตามพุทธานุญาต
คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้
หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายตัวไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขาก็ได้
ไปได้ไม่ติดขัด
ดำลงไปในแผ่นดิน เหมือนดำลงไปในน้ำก็ได้ เดินไปบนน้ำ โดยที่น้ำไม่แตกกระจาย เหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้
นั่งสมาธิลอยไปในอากาศเหมือนนางนกก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
ทำโลกให้สวยงาม
ประหนึ่งเวลาพระอาทิตย์ 6 ดวง อุทัยเหนือภูเขายุคันธร และทำให้โลกเป็นเหมือนกลุ่มตาข่ายดอกไม้
ที่ยอดภูเขายุคันธร ทำฝนห่าใหญ่ให้ตก มีอาการดังสายน้ำที่ตกมาจากภูเขายุคันธร ใช้ปลายนิ้วพระหัตถ์บังดวงอาทิตย์
และดวงจันทร์ไว้ ทัดทรงดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ไว้เป็นพันๆ ดวง เหมือนทัดทรงพวงมาลัย
พระองค์เดียวทรงเนรมิต
เป็นคณะภิกษุณีนับไม่ถ้วน แล้วอันตรธานกลับเป็นองค์เดียว
กราบทูลพระมหามุนีว่า
“ข้าแด่พระมหาวีระ
! ผู้มีจักษุ หม่อมฉันเป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ บรรลุประโยชน์โดยลำดับแล้ว ขอกราบพระยุคลบาท
หม่อมฉันนั้นมีอายุได้ 120 ปีแล้ว เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว หม่อมฉันจักนิพพาน”
ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้น ถึงความพิศวงยิ่งนัก จึงพากันประนมมือถามว่า “ข้าแด่พระแม่เจ้า ผู้มีความบากบั่น พระแม่เจ้าได้ทำบุญอะไรไว้ จึงเป็นผู้มีฤทธิ์หาที่เปรียบมิได้ ”
พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี ได้เล่าถึงบุพจริยาของท่านว่า พระชินเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ ทรงมีพระจักษุในธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ 100,000 นับจากกัปนี้ไป
ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลอำมาตย์ รุ่งเรือง ร่ำรวย มีทรัพย์มากในกรุงหงสวดี ในกาลบางคราว ข้าพเจ้าพร้อมบิดา และนางทาสีเข้าไปเฝ้าพระองค์
ผู้องอาจกว่านรชน ผู้ไม่มีอาสวะ ทำฝน คือธรรมตกลงอยู่
ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใส
ได้สดับสุภาษิตของพระองค์ และได้สดับพระองค์ทรงตั้งภิกษุณี
ผู้เป็นพระมาตุจฉาไว้ในตำแหน่งที่เลิศ
จึงได้ถวายมหาทาน และปัจจัยจำนวนมาก แด่พระผู้เลิศกว่านรชน พร้อมทั้งพระสาวกตลอด 7 วัน แล้วจึงหมอบลงแทบพระยุคลบาท ได้ตั้งความปรารถนาตำแหน่งนั้น ข้าพเจ้าได้รับพระพุทธพยากรณ์แล้ว มีใจปราโมทย์ บำรุงพระชินเจ้าด้วยปัจจัยทั้งหลายตลอดชีวิต
เมื่อละกายมนุษย์แล้วไปจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ เป็นพระมเหสีท้าวอัมรินทราธิราช
รุ่งเรืองครอบงำเทพเหล่าอื่น ด้วยความเป็นใหญ่ หลังจากนั้น ด้วยพายุกรรม จึงไปเกิดในหมู่ทาส ในอาณาเขตพระเจ้ากาสี ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าทาสทั้งหมด 500 คน ในหมู่บ้านนั้น
ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 องค์ ได้เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ข้าพเจ้าพร้อมสามี และญาติทั้งหลาย มีความยินดี เลื่อมใสแล้วจึงช่วยกันสร้างกุฎี 500 หลังถวาย อุปัฏฐากตลอด 4 เดือน และถวายไตรจีวร หลังตายแล้วพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย ข้าพเจ้าได้เกิดใน กรุงเทวทหะ มีพระชนกพระนามว่า อัญชนศากยะ พระชนนี พระนามว่า สุลักขณา ต่อมาได้เข้าสู่พระราชวังของพระเจ้าสุทโธทนะ ในกรุงกบิลพัสดุ์ ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าสตรีทุกคน ได้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพระชินเจ้า
ภายหลังข้าพเจ้าพร้อมด้วยนางศากิยานี 500 นาง ได้ออกบวช ซึ่งล้วนเคยทำบุญร่วมกันมา ประพฤติตามคำสอนที่ควรบูชา พระสุคตทรงอนุเคราะห์แล้วได้บรรลุอรหัตตผล
ภิกษุณีทั้งหลาย
ล้วนเป็นผู้มีฤทธิ์มาก
พากันเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย ที่โคจรเกาะกลุ่มกัน
แสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ
ได้แสดงปาฏิหาริย์มากมายหลายอย่าง ทำพระมุนี ผู้ประเสริฐกว่าดวงอาทิตย์พร้อมทั้งบริษัท ให้ทรงพอพระทัยยินดีแล้ว
ได้พากันลงมาจากท้องฟ้า ไหว้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของโลกแล้ว กราบทูลว่า
“ข้าแด่พระวีรเจ้า น่าชมเชยพระโคตรมีเถรี
เป็นผู้อนุเคราะห์หม่อมฉันทั้งปวง พระนางทรงอบรมด้วยบุญ จึงได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะข้าแด่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำ ทรงเป็นพระมหามุนี ทรงโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหมด นิพพานเถิด”
พระชินเจ้าตรัสว่า “เมื่อเธอทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า จักนิพพาน เราตถาคตจะไปว่ากล่าวอะไรได้ ก็บัดนี้ เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลอันสมควรเถิด”
พระธีรเจ้า พร้อมด้วยหมู่ชนจำนวนมากได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาถึงซุ้มประตูพระโคตรมีเถรี พร้อมพระภิกษุณีทุกรูป พากันหมอบกราบพระยุคลบาทพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลว่า “นี้เป็นการกราบพระยุคลบาทเป็นครั้งสุดท้าย เห็นพระโลกนาถเป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจะไม่เห็นพระพักตร์ ซึ่งมีอาการดังน้ำอมฤตของพระองค์อีก”
พระศาสดาตรัสว่า “จะมีประโยชน์อันใดแก่เธอด้วยรูปนี้ เมื่อธรรมที่เธอเห็นแล้วตามความเป็นจริง สังขตธรรมทั้งปวงนั้น ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ายินดี และเป็นของเลวทราม”
ภิกษุณีผู้เป็นธิดาของพระสุคตเจ้า
ซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมด ถูกอัญเชิญไปข้างหน้า พระโคตรมีเถรีผู้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้า
ผู้อันเทวดา และมนุษย์สักการะแล้ว ถูกอัญเชิญไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์
พร้อมด้วยนาค อสูร และพรหม ไปข้างหน้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวก เสด็จไปข้างหลัง
เพื่อบูชาพระพุทธมารดา
พระสรีระของพระโคตรมีเถรีถูกเผาแล้ว
จากนั้นท่านพระอานนท์ถูกพระพุทธเจ้าทรงตักเตือน จึงได้น้อมนำอัฐิธาตุของพระโคตรมีเถรี ซึ่งอยู่ในบาตรของพระนางเข้ามาถวายพระโลกนาถ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้พระหัตถ์ประคองอัฐิเหล่านั้น
ได้ตรัสว่า “ต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้น ถึงจะมีลำต้นใหญ่โต
ก็พึงหักทำลายได้ เพราะความไม่เที่ยง พระโคตรมีเถรีก็เหมือนกัน
ถึงจะใหญ่กว่าภิกษุณีสงฆ์ ก็ปรินิพพานไปแล้ว
ดูเถิดอานนท์ ! พุทธมารดาแม้ปรินิพพานไปแล้ว เหลือเพียงสรีรธาตุ เธอไม่ควรเศร้าโศกคร่ำครวญถึง คนอื่น ๆ ก็ไม่ควรเศร้าโศกถึงพระนางผู้ข้ามห้วงน้ำ
คือ สังสารวัฏไปแล้ว
ละเว้นเหตุที่ทำให้เดือดร้อนได้แล้ว เป็นผู้เย็นดับสนิทแล้ว”เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นโคจร เจริญโพชฌงค์ 7 ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น