วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร



ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสีว่า 

ภิกษุทั้งหลาย ! “ที่สุด ๒ อย่างนี้ บรรพชิตไม่พึงเสพ
๑.กามสุขัลลิกานุโยคในกามทั้งหลาย ( ความหมกมุ่นอยู่ในกามสุขทั้งหลาย) เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
๒.อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตน) เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์

ภิกษุทั้งหลาย ! มัชฌิมาปฏิปทาไม่เอียงเข้าใกล้ที่สุด ๒ อย่างนั้น ตถาคตได้ตรัสรู้ อันเป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ (ปัญญาจักษุ) ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มัชฌิมาปฏิปทานั้น ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ
๑.สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
๒.สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ)
๓.สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)
๔.สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ)
๕.สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ)
๖.สัมมาวายามะ(พยายามชอบ)
๗.สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
๘.สัมมาสมาธิ(ตั้งจิตมั่นชอบ

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็น ทุกขอริยสัจ คือ แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์ แม้ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์ แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็น ทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความเพลิดเพลิน และความกำหนัด มีปกติให้เพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ คือ
กามตัณหา (ความทะยานอยากในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ)
ภวตัณหา(ความทะยานอยากในภพ เป็นนั่น เป็นนี่ อยากคงอยู่ตลอดไป)
วิภวตัณหา(ความทะยานอยากในวิภพ อยากพรากพ้นจากตัวตน อันไม่ปรารถนา อยากทำลาย อยากดับสูญ)

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็น ทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ความดับไม่เหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสละทิ้ง ความพ้น ความไม่อาลัยในตัณหา

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้เป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละ  ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยสดับมาก่อนว่านี้ ทุกขอริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย !  ฯลฯ  ทุกขอริยสัจนี้ ควรกำหนดรู้
ภิกษุทั้งหลาย !  ฯลฯ  ทุกขอริยสัจนี้ เราได้กำหนดรู้แล้ว

ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยสดับมาก่อนว่านี้ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! ฯลฯ  ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้ ควรละเสีย
ภิกษุทั้งหลาย ! ฯลฯ ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้ เราละได้แล้ว

ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยสดับมาก่อนว่านี้ ทุกขนิโรธอริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! ฯลฯ  ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ ควรทำให้แจ้ง
ภิกษุทั้งหลาย ! ฯลฯ  ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว
 
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยสดับมาก่อนว่านี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย !  ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ ควรเจริญ
ภิกษุทั้งหลาย !  ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ เราได้ให้เจริญแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย ! ญาณทัสสนะตามความเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ ๓ รอบ ๑๒ อาการ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดี ตราบใด เราก็ยังไม่ยืนยันว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ตราบนั้น

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อใด ความรู้เห็นตามความเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ ๓ รอบ ๑๒ อาการ อย่างนี้ ฯลฯ ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ญาณทัสสนะเกิดแก่เราว่า ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวยกรณ์นี้อยู่ ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีความดับไปเป็นธรรมดา

ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว ทวยเทพชั้นภูมิเทวดากระจายข่าวไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยมพระภาคเจ้าทรงให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพชั้น จาตุมหาราชิกา สดับเสียงของทวยเทพชั้นภูมิเทวดาแล้วกระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ฯลฯ  อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพชั้น ดาวดึงส์ สดับเสียงของทวยเทพชั้นจาตุมหาราชิกาแล้วกระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม  ฯลฯ  อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพชั้น ยามา สดับเสียงของทวยเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว กระจายข่าวต่อไปว่า "นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ฯลฯ   อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพชั้น ดุสิต สดับเสียงของทวยเทพชั้นยามาแล้ว กระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ฯลฯ  อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้"

ทวยเทพชั้น นิมมานรดี สดับเสียงของทวยเทพชั้นดุสิตแล้ว กระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ฯลฯ   อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี สดับเสียงของทวยเทพชั้นนิมมานรดีแล้วกระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ฯลฯ  อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

ทวยเทพที่นับเนื่องใน หมู่พรหม สดับเสียงของทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แล้วก็กระจายข่าวต่อไปว่า นั่น ! พระธรรมจักรอันยอดเยี่ยมพระภาคเจ้าทรงให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับมิได้

เพียงครู่เดียวเท่านั้น เสียงป่าวประกาศได้กระจายไปถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้ ทั้งหมื่นโลกธาตุ ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แสงสว่างอันเจิดจ้าหาประมาณมิได้ ก็ปรากฏในโลก ล่วงเทวนุภาพของเทวดาทั้งหลาย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งพระอุทานว่า ผู้เจริญทั้งหลายโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ! โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ! ”
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความแคลงใจ ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของบรมพระศาสดา ได้กราบทูลขอบรรพชา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวไว้ ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ โดยชอบเถิด

ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทสั่งสอนภิกษุที่เหลือด้วยธรรมีกถาธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ ท่านพระวัปปะ และท่านพระภัททิยะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา
ท่านทั้ง ๒ ได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความแคลงใจ ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของบรมพระศาสดา ได้ทูลขอบรรพชา 
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวไว้ ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ โดยชอบเถิด

ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทสั่งสอนภิกษุที่เหลือด้วยธรรมีกถาธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ ท่านพระมหานามะ และท่านพระอัสสชิว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา
ท่านทั้ง ๒ ได้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความแคลงใจ ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของบรมพระศาสดา ได้ทูลขอบรรพชา
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวไว้ ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ โดยชอบเถิด




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น