วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

การเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน


การเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน


ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ไม่ว่าภิกษุ หรือภิกษุณี เปิดเผยการบรรลุอรหัตตผล ในสำนักของเรา ด้วยมรรค 4 ประการนี้

1. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนาอันมีสมถะนำหน้า เมื่อเธอเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะนำหน้า มรรคย่อมเกิด เธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค เมื่อเธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค นั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยทั้งหมดย่อมสิ้นสุดไป

2. ภิกษุเจริญสมถะอันมีวิปัสสนานำหน้า เมื่อเธอเจริญสมถะอันมีวิปัสสนานำหน้า มรรคย่อมเกิด เธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค เมื่อเธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค นั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยทั้งหมดย่อมสิ้นสุดไป

3. ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป เมื่อเธอเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป มรรคย่อมเกิด เธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค เมื่อเธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค นั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยทั้งหมดย่อมสิ้นสุดไป

4. ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกั้นไว้ ในเวลาที่จิตตั้งมั่น สงบภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ เธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค เมื่อเธอเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยทั้งหมดย่อมสิ้นสุดไป



เมตตาจิต สูตรที่ 2



เมตตาจิต สูตรที่ 2


ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล 4 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

1.บุคคลบางคนในโลกนี้ มีเมตตาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน (เทวโลก) ทิศเบื้องล่าง (นรกและนาค) ทิศเฉียง (ทิศย่อยของทิศใหญ่ หรือทิศรอง) แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ (อารมณ์ถึงความเป็นใหญ่ชั้นรูปาวจร และอรูปาวจร)ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้  เขาพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ในเมตตาฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เสียดแทง เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เบียดเบียน ไม่อยู่ในอำนาจ หลังจากตายแล้วเขาย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นสุทธาวาส การเข้าถึงนี้ ไม่ใช่มีทั่วไปสำหรับปุถุชนทั้งหลาย

2. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกรุณาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถานด้วยเมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้  เขาพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ในอุเบกขาฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เสียดแทง เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เบียดเบียน ไม่อยู่ในอำนาจ หลังจากตายแล้ว เขาย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นสุทธาวาส การเข้าถึงนี้ ไม่ใช่มีทั่วไปสำหรับปุถุชนทั้งหลาย

3. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีมุทิตาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถานด้วยมุทิตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี  เขาพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ในอุเบกขาฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เสียดแทง เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เบียดเบียน ไม่อยู่ในอำนาจ หลังจากตายแล้ว เขาย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นสุทธาวาส การเข้าถึงนี้ ไม่ใช่มีทั่วไปสำหรับปุถุชนทั้งหลาย

4. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีอุเบกขาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้  เขาพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ในอุเบกขาฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เสียดแทง เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เบียดเบียน ไม่อยู่ในอำนาจ หลังจากตายแล้ว เขาย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นสุทธาวาส การเข้าถึงนี้ ไม่ใช่มีทั่วไปสำหรับปุถุชนทั้งหลาย

เมตตาจิต สูตรที่ 1




เมตตาจิต สูตรที่ 1

ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล4 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

1. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีเมตตาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน (เทวโลก)ทิศเบื้องล่าง (นรกและนาค) ทิศเฉียง (ทิศย่อยของทิศใหญ่ หรือทิศรอง) แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ(อารมณ์ถึงความเป็นใหญ่ชั้นรูปาวจร, อรูปาวจร) ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ เขาชอบใจในเมตตาฌาน ติดใจในเมตตาฌาน และถึงความปลื้มใจกับเมตตาฌานนั้น เขาดำรงตนอยู่ในเมตตาฌานนั้นโดยมาก ไม่เสื่อม  เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นหมู่พรหม มีอายุประมาณ 1 กัป
คนที่เป็นปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ปรินิพพานในภพนั้นแล นี้แลเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อคติ(การตาย) และอุบัติ(การเกิด)ยังมีอยู่

2. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกรุณาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยเมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ เขาชอบใจในกรุณาฌาน ติดใจในกรุณาฌาน และถึงความปลื้มใจกับกรุณาฌานนั้น เขาดำรงตนอยู่ในกรุณาาฌานนั้นโดยมาก ไม่เสื่อม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นอาภัสสระ มีอายุประมาณ 2 กัป
คนที่เป็นปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้างส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ปรินิพพานในภพนั้นแล นี้แลเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อคติ และอุบัติยังมีอยู่

3. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีมุทิตาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ 1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ เขาชอบใจใน มุทิตาฌาน ติดใจในมุทิตาฌาน และถึงความปลื้มใจกับมุทิตาฌานนั้น เขาดำรงตนอยู่ในอุเบกขาฌานนั้นโดยมาก ไม่เสื่อม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นสุภกิณหะ มีอายุประมาณ 4 กัป
คนที่เป็นปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ปรินิพพานในภพนั้นแล นี้แลเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อคติ และอุบัติยังมีอยู่

4. บุคคลบางคนในโลกนี้ มีอุเบกขาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่1 ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยอุเบกขาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่อย่างนี้ เขาชอบใจในอุบกขาฌาน ติดใจในอุเบกขาฌาน และถึงความปลื้มใจกับอุเบกขาฌานนั้น เขาดำรงตนอยู่ในอุเบกขาฌานนั้นโดยมาก ไม่เสื่อม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงการอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นเวหัปผละ มีอายุประมาณ 500 กัป
 คนที่เป็นปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละ จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดา เหล่านั้นแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าดำรงอยู่ในชั้นหมู่พรหม จนสิ้นอายุที่กำหนดอายุของเทวดาเหล่านั้นแล้ว ปรินิพพานในภพนั้นแล นี้แลเป็นความแปลกกัน เป็นความแตกต่างกัน เป็นเหตุให้ต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้สดับ กับปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อคติ และอุบัติยังมีอยู่





การจมปลักอยู่ในทุกข์


การจมปลักอยู่ในทุกข์

                ภิกษุทั้งหลาย ! เราต่างถูก ชาติ  ชรา  มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ ทับถมครอบงำ  จมปลักอยู่ในทุกข์  สาละวนอยู่กับทุกข์  ทำอย่างไรเล่า  การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  จะพึงปรากฏได้

          ภิกษุผู้บวชแล้วแต่ยัง ละกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกไม่ได้  เปรียบ เหมือนท่อนไม้ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า  ไฟไหม้ทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ(อุจจาระ) ย่อมไม่อำนวยประโยชน์เป็นเครื่องเรือน ทั้งไม่อำนวยประโยชน์เป็นอุปกรณ์ใช้ในป่าได้

การยึดถือสิ่งใดในโลก  สิ่งนั้นไม่มีโทษนั้นไม่มี  การยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นเอง เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี  เพราะภพเป็นปัจจัย  ชาติจึงมี  เพราะชาติเป็นปัจจัย  ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัส  อุปายาสะจึงมี รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณไม่เที่ยง  สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์  สิ่งใดเป็นทุกข์  สิ่งนั้นเป็นอนัตตา  จึงควรพิจารณาเห็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา  เราไม่เป็นนั่น  นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

ภิกษุทั้งหลาย  ! สังขารเกิดจากตัณหา ผู้ถูกเสวยอารมณ์ที่เกิดจาก อวิชชา ถูกต้องสัมผัสแล้ว สังขาร ตัณหา และอวิชชา นั้น ก็ไม่เที่ยง  ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น  เมื่อพิจารณาเห็นเช่นนี้  อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปเป็นลำดับ

อนิจจสัญญา  (ความหมายรู้ว่าไม่เที่ยง) ที่บุคคลเจริญ  ทำให้มากแล้ว  ย่อมครอบงำกามราคะ  รูปราคะ  ภวราคะ อวิชชาทั้งปวงได้ และถอนอัสมิมานะทั้งปวงได้
    
      ภิกษุทั้งหลาย  สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  เธอทั้งหลายพึงละฉันทราคะในสิ่งนั้น

ธรรมที่ควรกำหนดรู้  คือ ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) 
ความกำหนดรู้   คือ  ความสิ้นราคะ  โทสะ  โมหะ  
บุคคลผู้กำหนดรู้   คือ  พระอรหันต์