วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

พระศรีอริยเมตไตรย



พระศรีอริยเมตไตรย

  พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน(พระโคดม)ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับพระศรีอริยเมตไตรย ไว้พบในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ดังนี้[
  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์
  พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้
  พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้
  พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ"
  จากการบันทึกในเอกสารต่าง ๆ เช่น อนาคตวงศ์ สรุปพระประวัติของพระเมตไตรยได้ว่า พระโพธิสัตว์จะจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรย ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักร แห่งเกตุมดีนคร
  เมื่อประสูติได้มีนิมิต ๓๒ ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี
ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔จึงทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล
  ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก
  พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง
  พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า มีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ
  โลกนี้จะมีความสงบสุขและพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่าพระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้ เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่า ใครเป็นใคร เพราะรูปร่างหน้าตาดีเหมือนกันหมด สุภาพเหมือนกันหมด มันสวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา
  เมื่อต้องการอะไรก็ได้ดังต้องการมีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ มีความสะดวกสบาย แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างใจหมด




วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปัญหา ๑๖ มาณพ กัปปมาณพ


ปัญหากัปปมาณพ

กัปปมาณพ ศิษย์ในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
  อะไรที่พึ่งของเหล่าสัตว์ ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งของชนผู้ชรา มรณะมาถึงรอบข้าง ดุจเกาะเป็นที่พึ่งของชนผู้อยู่กลางสมุทรเมื่อเกิดคลื่นใหญ่ที่น่ากลัวแก่ ข้าพระองค์ อย่าให้ทุกข์มีได้อีก  ?   
        พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
กัปปะ ! เราจะบอกที่พึ่งของเหล่าสัตว์  ผู้ดำรงอยู่ท่ามกลางสระ  ผู้ถูกชรา และมัจจุราชครอบงำ  ในขณะเกิดห้วงน้ำ อันเป็นมหันตภัยแก่เธอ เราเรียกนิพพาน ซึ่งไม่มีเครื่องกังวล ไม่มีเครื่องยึดมั่นนี้นั้นว่า เป็นที่พึ่งอันไม่มีที่พึ่งอื่นยิ่งกว่า นิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งชรา และมัจจุราช ชนเหล่าใดมีสติ รู้นิพพานนั้นแล้ว เห็นธรรม ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้น จึงไม่ไปตามอำนาจมาร ไม่ไปบำรุงมาร
หมู่ ชนเหล่านั้นควรนำตัณหาเป็นเหตุถือมั่นในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ และท่ามกลางออกให้หมดสิ้น เพราะเขาถือมั่นสิ่งใดๆ ในโลก มารย่อมติดตามเขาได้ เพราะสิ่งนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะ ว่าเกิดอยู่เพราะความถือมั่น พึงมีสติไม่ถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง
       (ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า... ภิกษุทั้งหลาย !  สงสารนี้ มีเบื้องต้น และเบื้องปลายรู้ไม่ได้  ที่สุดเบื้องต้น  ที่สุดเบื้องปลายไม่ปรากฏ    แก่เหล่าสัตว์  ผู้ถูกอวิชชากีดขวาง  ถูกตัณหาผูกไว้  วนเวียนท่องเที่ยวไป เหล่าสัตว์ เสวยทุกข์  เสวยความยากลำบาก  เสวยความพินาศ เต็มป่าช้า เป็นเวลายาวนานอย่างนี้แล  เพราะเหตุนี้แหละ  จึงควรเบื่อหน่าย  ควรคลายกำหนัด  ควรหลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง 
       ที่สุดทั้งเบื้องต้น  ทั้งเบื้องปลายแห่งสงสารจึงไม่ปรากฏ  แม้อย่างนี้  เหล่าสัตว์ผู้ดำรงอยู่แล้ว  คือ ดำรงมั่นแล้ว  ติดแล้ว  ติดแน่นแล้ว   ติดพันแล้ว  ติดใจแล้วในสงสาร  อันเป็นท่ามกลางสระนั้น)

ปัญหา ๑๖ มาณพ เมตตคูมาณพ

ปัญหาเมตตคูมาณพ

เมตตคูมาณพ ศิษย์ในจำนวน ๑๖ คน ของพราหมณ์พาวรี กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
     ๑. ทุกข์ในโลกนี้มีหลายประการ และทุกข์นั้นมาจากไหน ?
     พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
     ทุกข์ทั้งปวงล้วนมาจากอุปธิ(สิ่งที่ยังกลั้วด้วยกิเลส) ผู้ใดเขลาไม่รู้แล้วทำให้อุปธินั้นให้เกิด ผู้นั้นย่อมประสบทุกข์บ่อยๆ เหตุนั้น เมื่อรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุใหเกิดทุกข์ แล้วอย่าทำอุปธิให้เกิด ฯ 
    ๒. ทำอย่างไรจึงจะข้ามชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะได้ ?
    พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
    เราจักแสดงธรรมที่พึงเห็นแจ้งด้วยตนเองในอัตภาพนี้ ที่บุคคลทราบแล้ว จะเป็นผู้มีสติสามารถข้ามความอยากอันให้ติดในโลกได้ ฯ
     ๓. ข้าพระองค์ยินดีในธรรมที่สูงสุดนั้นเป็นอย่างยิ่ง
     พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาว่า
เธอรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็น ธรรมชั้นสูง ชั้นต่ำ และชั้นกลาง เธอจงบรรเทาความเพลิดเพลิน ความถือมั่น และวิญญาณ ในธรรมเหล่านั้นเสีย ไม่พึงตั้งอยู่ในภพ
 ภิกษุผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท รู้แจ้ง ละความยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว เที่ยวไปอยู่ พึงละชาติ ชรา โสกะ และปริเทวะ อันเป็นทุกข์ในอัตภาพนี้ได้แน่นอน
( อนาคต  เป็นธรรมชั้นสูง  อดีต เป็นธรรมชั้นต่ำ  ปัจจุบัน เป็นธรรม ชั้นกลาง 
เทวโลก  เป็นธรรมชั้นสูง  นิรยโลก เป็นธรรมชั้นต่ำ  มนุษยโลก เป็นธรรมชั้นกลาง 
อรูปธาตุ  เป็นธรรมชั้นสูง   กามธาตุ  เป็นธรรมชั้นต่ำ  รูปธาตุ เป็นธรรมชั้นกลาง 
สุขเวทนา  เป็นธรรมชั้นสูง   ทุกขเวทนา  เป็นธรรมชั้นต่ำ  
อทุกขมสุขเวทนา  เป็นธรรมชั้นกลาง)