วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระปฏาจาราเถรี...พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒


พระปฏาจาราเถรี

(พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ  เล่มที่ ๓๒)

พระชินเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงมีพระจักษุ  ทรงเป็นผู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงเป็นพระมุนีเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ 100,000 นับจากกัปนี้ไป 
ครั้งนั้น หม่อมฉันเกิดในตระกูลเศรษฐี  รุ่งเรืองด้วยรัตนะต่าง ๆ  ในกรุงหงสวดี  เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความสุขมาก
หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนา  ทำจิตให้เลื่อมใส  ได้ถึงพระชินเจ้าเป็นสรณะ
ครั้งนั้น พระมหาวีระทรงสรรเสริญภิกษุณีรูปหนึ่ง ผู้มีหิริเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย หม่อมฉันมีจิตเบิกบาน หวังในตำแหน่งนั้น
จึงกราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระสาวก เสวยและฉันตลอด 7 วัน ถวายบาตร และจีวรแล้ว  ซบศีรษะแทบพระยุคลบาท กราบทูลตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้น และได้รับพระพุทธยากรณ์
ด้วยกรรมที่หม่อมฉันทำไว้ดีแล้ว  ด้วยเจตนาที่ตั้งมั่น  เมื่อละกายมนุษย์แล้วไปจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ พระนามว่า กัสสปะ  ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลาย  ทรงเสด็จอุบัติแล้ว
       ครั้งนั้น หม่อมฉันเป็นธิดาคนที่ 3 ของพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกี เป็นใหญ่ในกรุงพาราณสี ทรงเป็นผู้อุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่
       พระชนกนาถมีพระราชกัญญา 7 พระองค์   ได้กลับชาติมาเกิดเป็น 1. หม่อมฉันพระปฏาจาราเถรี  2. พระอุบลวรรณาเถรี  3. พระเขมาเถรี  4. พระกุณฑลเกสีเถรี  5. พระกีสาโคตมีเถรี    6. พระธรรมทินนาเถรี  7. วิสาขามหาอุบาสิกา
       ด้วยกรรมที่หม่อมฉันทำไว้ดีแล้ว ด้วยเจตนาที่ตั้งมั่น เมื่อละกายมนุษย์แล้วไป  จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  
       บัดนี้ เป็นภพสุดท้าย  หม่อมฉันเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี  เจริญมั่งคั่ง กว้างขวาง มีทรัพย์มาก  เมื่อหม่อมฉันเจริญวัยเป็นสาว ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของวิตก พบบุรุษชนบทผู้หนึ่ง แล้วตามไปอยู่กับเขา
หม่อมฉันคลอดบุตรคนที่หนึ่งแล้ว  ตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2  ปรารถนาไปเยี่ยมบิดามารดาคนเดียว ไม่ได้บอกสามี  ภายหลังสามีตามมาทันที่หนทาง  ลมกรรมชวาตแสนทารุณ  ได้เกิดขึ้นแก่หม่อมฉัน   ในขณะที่มหาเมฆเกิดขึ้น สามีไปหาเครื่องกำบัง  แต่ถูกงูกัดตาย
หม่อมฉันหมดที่พึ่ง ได้อุ้มลูกคนเล็กข้ามแม่น้ำน้อย  ซึ่งมีน้ำเต็มเปี่ยม ไปวางไว้ที่ฝั่งโน้นคนเดียว แล้วย้อนกลับมาจะนำบุตรอีกคนหนึ่งข้ามไป นกเหยี่ยวตัวหนึ่ง  โฉบลูกคนเล็กร้องไห้จ้าไป บุตรคนโตก็ถูกกระแสน้ำพัดไป หม่อมฉันเศร้าโศกเหลือประมาณ 
จึงเดินทางไปสู่นครสาวัตถี ก็ได้ทราบว่าบิดา มารดา พี่ชาย ตายแล้ว ในคืนวันฝนตกหนัก ฟ้าผ่า ไฟไหม้บ้าน กำลังถูกเผาอยู่ที่เชิงตะกอนเดียวกัน
หม่อมฉันอัดอั้นตันใจ ด้วยความเศร้าโศก เปี่ยมด้วยความโสกาอาดูรอย่างใหญ่หลวง จึงซูบผอม ตรอมใจอยู่ทุกวัน เดินกระเซอะ กระเซิงไปแล้ว 
หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้ทรงเป็นสารถีฝึกนรชน ลำดับนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสกับหม่อมฉันว่า   “เธออย่าเศร้าโศกถึงบุตรเลย   จงผ่อนคลายบ้างเถิด จงแสวงหาตนเองเถิด  จะเดือดร้อนอย่างไร้ประโยชน์ ไปทำไม
       บุตร ธิดา ญาติ และพวกพ้อง มีไว้เพื่อต้านทานคนผู้ถึงที่ตาย ไม่ได้เลย  บรรดาหมู่ญาติผู้ที่จะต้านทานได้ ก็ไม่มี
       หม่อมฉันได้ฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้ว  ได้บรรลุโสดาปัตติผลบวชไม่นาน  ก็บรรลุอรหัตตผล
หม่อมฉันเรียนวินัยทั้งปวง ในสำนักพระผู้ทรงรู้ ทรงเห็นธรรมทั้งปวง และกล่าวอธิบายพระวินัยทั้งปวง  ได้อย่างพิสดารตามความเป็นจริง
พระชินเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ ทรงพอพระทัยในคุณสมบัตินั้น จึงทรงแต่งตั้งหม่อมฉันในตำแหน่งเอตทัคคะ ปฏาจาราภิกษุณีเพียงผู้เดียว เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงวินัย
กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว หม่อมฉันตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้ว อยู่อย่างไม่มีอาสวะ ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้ว  อยู่อย่างอิสระ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น